วิ่งมาราธอนแรกที่ญี่ปุ่น รีวิว Shizuoka Marathon 2017 ตอน 2 หนีคัตออฟ 5 ชั่วโมงครึ่ง!!!

Marathon Day วิ่งหนีคัตออฟ!!

เช้าวันวิ่ง 5 มี.ค. 2560  ตื่นมานั่งเช็คสภาพอากาศ โอ๊ววว พ่อจ๋า แม่จ๋า… -3 องศา  เสื้อแขนสั้นเนื้อผ้าบางๆ ที่เตรียมมาใส่วิ่ง ไม่น่าพารอดได้ ต้องวางแผนใหม่เป็นการด่วน ใครสนใจอยากลองหาข้อมูลงานวิ่งมาราธอนที่ญี่ปุ่น วิธีการสมัคร ขั้นตอนการรับบิบ วันรับบินจริง อ่านรีวิวได้ที่ลิงค์นี้ วิ่งมาราธอนแรกที่ญี่ปุ่น รีวิว Shizuoka Marathon 2017 ตอน 1 สมัครยังไงให้ได้ไปวิ่งที่ญี่ปุ่น

อากาศ ตอนเช้า วันวิ่ง

เริ่มจากค้นเสื้อแขนยาวฮีทเทค สวมทับด้วยเสื้อวิ่งแขนสั้นที่เตรียมมากับ กางเกงวิ่งขายาว สวมผ้าบัฟคลุมหัวกันลม จบด้วยเสื้อกันฝน!  ใช่ค่ะ อ่านไม่ผิดค่ะ เสื้อกันฝนจริงๆ ที่ต้องใส่เสื้อกันฝนคลุมไว้แบบนี้ เป็นเทคนิคการเก็บความร้อนในร่างกายไว้ในระหว่างที่วิ่ง เพราะตลอดเส้นทางลมค่อนข้างแรง ถ้าไม่มีชุดกันลม อาจจะหนาวจนวิ่งไม่ออกก็ได้  ส่วนมากจะหาเสื้อกันฝนแบบราคาไม่แพงมาใส่กัน   ถ้านักวิ่งคนไหนวิ่งไปได้สักพักแล้วเครื่องเริ่มร้อน ก็สามารถถอดทิ้งได้เลย

รองเท้าวิ่ง, เสื้อกันฝนกันลม

หลังจากประดิษฐ์เครื่องแต่งกายสำหรับวิ่งเสร็จ ก็เดินออกจากที่พักตอนประมาณ 6 โมงครึ่ง ใช้เวลาเดินประมาณ 15นาที ก็มาถึงหน้าสถานีเจอาร์ ระหว่างทางก็จะเห็นเพื่อนร่วมชะตากรรมในเช้าวันนี้ ทยอยเดินไปตามถนน เดินลอดใต้สถานีเจอาร์ออกไปที่สวนสาธารณะหลังศาลาว่าการเมืองชิซุโอกะ ที่เรามารับอุปกรณ์เมื่อวานนี้

ระหว่างทางเดินไปจุดปล่อยตัว

ป้ายบอกทางไปยังจุดปล่อยตัว

นักวิ่งทยอยไปรวมตัวกันที่จุดปล่อยตัว

จุดฝากของ กระจายอยู่ภายในสวนสาธารณะที่อยู่ด้านหลังศาลาว่าการเมืองฯ กระจายจุดรับฝากของไว้ตามบลอคของนักวิ่งที่ระบุไว้ ไล่ตั้งแต่ บลอค A, B,C,D,F โดยเขาใช้รถบรรทุกมารับของแล้วขนไปรอไว้ที่เส้นชัยเลย รวมๆ แล้ว ใช้รถบรรทุกไปหลายสิบคัน (สุดยอดดดด) เนื่องจากมีนักวิ่งมาร่วมงาน ประมาณ 13,000 คน การปล่อยตัวจึงจัดให้เป็นบลอค ไล่ไปตามเวลาที่นักวิ่งคาดว่าจะเข้าเส้นชัย ใครใช้เวลาน้อยก็ได้อยู่บลอคแรกๆ เช็คว่าตัวเองอยู่บลอคไหนได้จาก หน้าบิบตัวเองที่แปะอยู่ที่เสื้อ บลอคที่ได้ไปสิงสถิตย์ คือ บลอค F   (เรียกบลอคบ๊วยล่ะกัน เพราะตอนกรอกเวลาที่คิดว่าจะวิ่งจบมาราธอน ใส่ไปว่า  5:30 เป๊ะ)

บริเวณบลอคปล่อยตัว

อาสาสมัครชุดฟ้ารอรับฝากของจากนักวิ่ง พร้อมมากค่ะ พร้อมโพสต์ท่าถ่ายรูป

อาสาสมัครรับฝากของ

7:30  เรียกนักวิ่งเข้าประจำบลอค ยืนรอปล่อยตัวในชุดเสื้อคลุมกันฝนอยู่ประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ ท่ามกลางอากาศ -3  กับลมที่มาเป็นระยะ เต้นฟุตเวิร์ครอกันเลยทีเดียว เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น

บรรยากาศบลอคปล่อยตัว

8.30 ผู้ว่าการเมืองมาเป็นประธาน ปล่อยตัวจากบลอค ปล่อยตัวตรงเวลาเป๊ะ   นักวิ่งค่อยทยอยเคลื่อนตัว  แต่กว่าจะเคลื่อนออกจากบลอคมาถึงจุดสตาร์ท ใช้เวลาเกือบๆ ชั่วโมง

เริ่มปล่อยตัวแล้วบรรยกาศ ณ จุดปล่อยตัวจุดสตาร์ท

สองข้างทางจะมีกองเชียร์ที่อาศัยอยู่ตามแนวเส้นทางวิ่ง ออกมายืนกันริมถนน ตะโกน กัมบัตเตะๆ ไฟท์โต้ๆ ให้ได้ยินตลอดทาง บางคนก็นำขนม ลูกอม อาหารมาแจก บางคนก็อุ้มลูกจูงหลาน หิ้วเก้าอี้มานั่งปรบมือเชียร์ ออกวิ่งมาได้ประมาณ 2กิโล เหมือนร่างกายเริ่มปรับสภาพได้ เริ่มรู้สึกร้อน เลยถอดเสื้อกันฝนฝากกับอาสาสมัครที่ยืนตามจุดเป็นระยะ

กองเชียร์วัยดึก

กองเชียร์ตัวน้อย

กองเชียร์ระหว่างทางวิ่ง

ส่วนฝ่ายดนตรี ที่นี่ไม่ได้มีวงโป๊งซึ่งเหมือนพี่ไทย แต่จะมากันแบบเต็มวง เครื่องเป่า กีตาร์  ตีกลองโบราณ บางคนก็มาโซโลเป่าทรัมเปตกล่อมนักวิ่งอยู่ข้างทาง

กองเชียร์ นักดนตรี

กองเชียร์ ตีกลอง

ช่วงแรกจนถึง กม ที่ 15  จะเป็น รูท City run วิ่งผ่านเมืองชิซุโอกะ ก่อนที่จะเริ่มออกนอกเมือง งานวิ่งนี้ กำหนดจุด cut off  ถึง 9  จุด  ใครวิ่งผ่านจุดcut off ไม่ทันตามเวลาที่กำหนด  อาสาสมัครก็จะดึงผ้าสีแดงขึ้นมากั้นทางวิ่ง นักวิ่งที่วิ่งเข้ามาช้ากว่าเวลาที่กำหนดก็ต้องออกจากการแข่งขันๆ (อ่อนแอก็แพ้ไป) จุด cut off  ที่ 3  เห็นกับตาว่า ฝั่งตรงข้ามที่กำลังสับขาวิ่งสวนกับเราไป เจอผ้าแดงกั้นDNF ไปเรียบร้อย นักวิ่งที่ผ่านจุดคัตออฟมาได้ พร้อมใจกันซอยขาสับกันไม่ยั้งเลย

ด้านหลังของกองเชียร์คือ รถบัสมรณะ ที่คอยเก็บนักวิ่งที่วิ่งเข้าไม่ทันเวลาคัคออฟแต่ละจุด check point

รถบัสรับนักวิ่งที่ไม่ผ่านคัตออฟ

Advertisements

ช่วงแรกๆ  ของการวิ่ง พยายามวิ่งช้าๆ คุมเพชหรือจังหวะการก้าวไม่ให้เร็วเกินไป เพื่อให้มีแรงเหลือในช่วงท้ายๆ ตามสูตร  วิ่งจบ แถมไม่เจ็บ ไม่ทะเลาะกับบันได

ซุ้มน้ำ ไม่พูดถึงไม่ได้ มีอุดมสมบูรณ์ แต่ละจุด ตั้งโต๊ะแถวยาวประมาร 15 เมตรได้ อาสาสมัครที่มายืนแจกน้ำก็เป็นคนในชุมชน มีตั้งแต่ เด็ก ผู้ใหญ่ รวมถึงคุณลุงคุณป้า  กม. ที่ 15  นอกจากซุ้มน้ำแล้ว มีขนมปังใส้ถั่วแดงมาเสิร์ฟเพิ่มพลังให้อิ่มกันไป  ตะกละแวะทุกซุ้มที่เจอก็ว่าได้ จุดบริการห้องน้ำ ถี่กว่าจุดให้น้ำซะอีก จุดละ ประมาณ 5 ห้อง  ซุ้มพยาบาลที่เรียกว่า ถี่มาก ยังไม่รวมทีมแพทย์กู้ภัยที่ปั่นจักรยานคอยดูแลไปตลอดเส้นทาง

ซุ้มอาหาร ขนมปังไส้ถั่วแดง

พ้นระยะ กม. ที่ 15 ไปแล้วเส้นทางก็ปรับสู่นอกเมืองแบบเต็มตัว จนเกือบไม่ทันได้มองว่า ภูเขาไฟฟูจิยืนเชียร์อยู่ข้างหลัง   แต่แล้วก็ต้องหยุดความฟินไว้แค่นั้น เพราะจุด Cut off  หน้ามีรถบัสมาจอดรอแล้ว งานนี้เลยต้องซอยขา วิ่งต่อไป

ภาพภูเขาไฟฟูจิ

พอเริ่มเข้ากิโลที่ 20 เริ่มวิ่งเลาะชายทะเล ด้านขวาเราเป็นชายทะเล ส่วนด้านซ้าย เป็นโรงเรือนปลูกสตรอว์เบอร์รี่  เส้นทางนี้ มีชื่อเรียกว่า Strawberry beachline

เส้นทางเลาะริมทะเล

และไฮไลท์สำคัญก็อยู่ตรงที่กิโลที่ 29  ที่ขาเริ่มล้า ตะคริวเริ่มส่งสัญญาณมาเป็นระยะๆ เจอชุ้มน้ำ ซุ้มอาหารในช่วงนี้ มีทั้ง ขนมปังไส้ถั่วแดง กล้วยหอม และสตรอว์เบอร์รี่สดๆ เพิ่มพลัง กลับมาเฟรชได้อีกครั้ง

ซุ้มแจก สตรอว์เบอร์รี่

สตรอว์เบอร์รี่

กิโลที่ 35-39  ปีศาจในตำนานเริ่มปรากฏตัว ขาหนักจนแทบก้าวไม่ไหว หัวเข่าทั้งสองข้างเริ่มระบม แถมเอ็นข้างเข่าซ้ายที่เคยเจ็บก็เหมือนกลับมาเยี่ยนซะงั้น  ลมพัดมาตลอด วิ่งมาตั้งนานเหงื่อไม่ออกเลย  แถมยังต้องวิ่งหนีตายกับรถเก็บนักวิ่งที่วิ่งไม่ทันคัตออฟ ที่มาจอดรออยู่ ก็ยิ่งกดดันตัวเองให้ต้องวิ่ง โค้ชตัวเองไปตลอดทางว่า อย่าหยุดวิ่งนะ …. งานนี้ลงทุนไปเยอะนะ อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆ (ได้แรงฮึดจากความขี้งกของตัวเองล้วนๆ)

เส้นทางวิ่ง

และแล้วก็ถนนก็เริ่มมีตึกสูงๆ ให้เห็นบางแล้ว หลังจากที่เห็นแต่ภูเขา ทะเล มาพักใหญ่ เริ่มมั่นใจว่าใกล้เข้าสู่ระยะไม่เกิน 10 กิโลสุดท้ายแล้ว แรงกดดันค่อยๆ หายไป ความมั่นใจเริ่มชัดขึ้น

เส้นทาง กลับเข้าตัวเมืองอีกครั้ง

และแล้ว กิโลที่ 42 ก็มาถึงซะที่ ที่กดดันหายไปหมด ขาที่เคยหนักจนแทบก้าวไม่ออก ไม่รู้ไปเอาแรงมาจากไหน

กม. ที่ 42

วิ่งเข้าเส้นชัย 5 ชั่วโมงกับอีก 26 นาที เรียกว่าเฉียดฉิวไปแค่ 4 นาทีเท่านั้น

ซุ้ม finisher

หลังเข้าเส้นชัย จะมีอาสาสมัครที่มายืนมอบเหรียญ และผ้าขนหนูผืนใหญ่ (ไม่มีเสื้อ finisherให้ มีแต่ผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่มีคำว่า Finisher ให้แทน) อาสาสมัครที่ทำหน้าที่แจกผ้า finisher จะไม่ได้แค่ยื่นให้กับนักวิ่ง แต่จะคลุมไหล่ให้  รู้สึกอุ่นขึ้นทันทีที่ผ้า finisher ค่อยคลุมมาบนไหล่

เหรียญรางวัล, ผ้า finisher

ส่วนชิปจับเวลาที่อยู่ที่รองเท้าต้องส่งคืนหลังวิ่ง จะมีอาสาสมัครมานั่งคอยตัดให้กับนักวิ่ง

อาสาสมัคร แกะชิฟจับเวลา คืน

สุดท้ายก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน ไปรับใบรับรอง certificate  ที่เขาตั้งโต๊ะปรินท์ให้ติดมือกลับไปแปะฝาบ้าน

FullSizeRender

เป็นอันว่า สามารถวิ่งมาราธอนจบได้ก่อนเวลา cut off  ได้สำเร็จ  เป็นการวิ่งระยะฟูลมาราธอน ในต่างประเทศเป็นครั้งแรกที่ประทับใจมาก จำได้ว่าเป็นการวิ่งเหมือนคนบ้า ยิ้มไปตลอดทาง คุ้นหูกับคำว่า กัมบัตเตะๆ ไฟท์โต๊ะๆ  ไปตลอดทาง  และเชื่อว่าเพื่อนญี่ปุ่นคงจะป้ายยางานวิ่งที่ญี่ปุ่นมาอีกเรื่อยๆ เพราะที่ญี่ปุ่น มีงานวิ่งมาราธอนน่าสนใจเยอะ ปีหน้าคงไปลุ้นตั๋วโตเกียวมาราธอนอีก ปีหน้าเจอกันใหม่

Finisher

Advertisements

Advertisements

Advertisements